วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คุณขายอะไร เค้า (บริษัท) ซื้ออะไร

จริง ๆ ว่าไปแล้วการหางาน ก็เหมือนกับการขายของ โดยปกติเราซื้อของสักอย่าง เราจะซื้อจากอะไรนะคะ? หลายคนอาจจะซื้อเพราะความสวยงาม ถูกใจ (Fashion) หลายคนอาจจะซื้อเพราะเป็นสิ่งที่ทำได้หลากหลายอย่าง (Multi-function)  หรือ หลายคนอาจจะซื้อเพราะราคาถูก (Inexpensive) อย่างไรก็แล้วแต่ ก่อนที่คนจะซื้อมันก็ต้องมีการนำเสนอขายก่อน เสร็จแล้วคนซื้อถึงจะตัดสินใจว่าจะซื้อด้วยเหตุผลอะไร ใช่หรือไม่คะ^^

ซึ่งก็ไม่ต่างจากการที่เราไปสัมภาษณ์งาน ก็เปรียบเสมือนเรากำลังขายสินค้า นั่นก็คือ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ หรือ บุคลิกภาพ หรือ มันสมอง ของเรานั้นเอง เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสินค้าตัวนี้ ว่า เรามีคุณสมบัติอะไร เป็นคนลักษณะแบบไหน มีจุดแข็ง จุดอ่อน หรือ มีแรงบันดาลใจได้ด้วยวิธีใด การที่เรารู้ตัวเราดีขนาดไหน นั่นย่อมทำให้เราขายสินค้าในความเป็นตัวเราได้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าเรายังสับสนตัวเอง ยังสับสนกับเป้าหมายในชีวิตอยู่ แนะนำทำการบ้านดี ๆ ก่อนไปสัมภาษณ์ดีกว่า หรือ อย่าเพิ่งไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา

คนสัมภาษณ์งานสมัยนี้เค้าจะมีเครื่อมือมากมาย ดังที่กล่าวไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ดังนั้นถ้าเราไปสัมภาษณ์แล้วไม่มั่นใจว่าเราจะขายสินค้าตัวเองให้เค้าซื้อไม่ได้ อย่าไปเลยค่ะ เปลืองค่ารถค่าน้ำมัน แต่ถ้าจะไปสัมภาษณ์เพื่อเอาประสบการณ์อันนี้ก็โอเคนะคะ ไม่ว่ากัน

จริง ๆ สมัยนี้จะมีแบบทดสอบทางด้านพฤติกรรม หรือ บุคลิกภาพมากมาย ที่เราสามารถเข้าไปทำฟรี แล้วพิมพ์ออกมาได้เป็นเอกสาร ตอนที่เราไปสัมภาษณ์เราอาจจะยื่นเอกสารที่เป็นรายงานบุคลิกภาพของเราให้ผู้สัมภาษณ์ดูและอธิบายได้ว่า บุคลิกแบบเรานี้ จะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างไรบ้าง รวมถึงจุดแข็งของเราที่สามารถช่วยองค์กรได้อย่างไร และจุดอ่อนของเรานั้น เราจะทำการปรับปรุงหรือจัดการมันอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน

ทัศนคติ และหลักคิด ของเราเป็นแบบไหน เราเข้าใจตนเองมากน้อยขนาดไหน ว่าเราเป็นคนที่มีทัศนคติการมอง การใช้ชีวิต มีหลักคิดในการทำงาน การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา อย่างไร เหล่านี้บางบริษัทก็อาจจะมีเครื่องมือวัดได้เช่นกัน ดังนั้นเราก็ต้องฝึกคิดบวก มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน หมั่นขวนขวายหาความรู้ และนำไปทดลองฝึกปฏิบัติ ทบทวน ปรับปรุง แก้ไข โดยใช้หลัก DIKW (Data, Information, Knowledge and Wisdom) เพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างด้วยมือของเราเป็นต้น

อาจจะสรุปโดยย่อว่า “คุณขาย(สินค้า = ตัวเรา)” ได้อย่างไรดังนี้


  1. ความรู้อะไรที่เรามีแต่คนอื่น ไม่มี หรือ ความรู้ที่จำเป็นกับงานนั้น ซึ่งเรารู้แบบรู้ลึกรู้จริง 
  2. ความสามารถ หมายถึง ทักษะหรือการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันโดดเด่นมากสำหรับคุณ เช่น ทักษะการใช้สูตรเอ็กเซล ที่ซับซ้อนได้  หรือ ทักษะการพูดได้หลายภาษา  หรือ ทักษะการพูดที่โน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อได้ง่าย หรือ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถคิดนอกกรอบ คิดสิ่งใหม่ ๆ ได้ เป็นต้น
  3. พฤติกรรม ที่เหมาะกับองค์กรหรือบริษัท นั้น ๆ เราต้องรู้ก่อนว่าบริษัทที่เรากำลังไปสัมภาษณ์นั้น เคามีพฤติกรรมร่วมคืออะไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หาได้ง่ายมากจากเว็บไซด์ของบริษัทเค้านั้นเอง เช่น ค่านิยมหลักขององค์กร เอ คือ ความรวดเร็ว (Speed) เราก็ต้องกลับมาดูตัวเราเองก่อน ว่าเรามีพฤติกรรมที่ทำอะไรรวดเร็วหรือไม่ ถ้าพฤติกรรมเราเป็นคนช้ามาก แบบนี้ก็ยากที่จะบริษัทจะรับเข้าทำงานในตำแหน่งที่สำคัญ เป็นต้น
  4. บุคลิกภาพ โดยส่วนใหญ่เวลาบริษัทเปิดรับสมัครงาน เค้าจะบอกบุคลิกภาพที่เค้าต้องการไว้เรียบร้อย ดังนั้นตอนอ่าน Job Post หรือ ประกาศรับสมัครงาน ต้องอ่านให้ละเอียด เช่น เค้าแจ้งว่าต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่สามารถไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้เร็ว (Interpersonal) เราก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเราเองว่าเราเป็นคนที่ชอบสังคมไหม ชอาบในการเค้าหาผู้อื่นหรือเปล่า มีบุคลิกภาพที่เปิดเผย ทำให้คนอื่นไว้วางใจได้ง่ายและรวดเร็วไหม เป็นคนที่เข้าถึงคนอื่น หรือ คนอื่นเข้าถึงตัวเราเองได้ง่ายไหม ซึ่งเหล่านี้ก็มีผลต่อการตัดสินใจในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานในองค์กรด้วยเหมือนกัน
  5. ทัศนคติ โดยรวมสมัยนี้ เค้าจะมีแบบวัดทัศนคติโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่คิดลบ และเห็นแก่ตัว (Negative Thinking and Selfish) บริษัทหรืองค์กรจะไม่มีทางรับเข้ามาทำงานแน่นอน เพราะพัฒนายากและเสียเวลา อีกทั้งพอเข้ามาอาจจะทำให้คนอื่นๆ ที่คิดบวก คิดดี เปลี่ยนความคิด แล้วเกิดความเสียกับองค์กร อันนี้อันตรายมาก เค้าก็จะระวังและมีการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้แน่นอน
  6. แนวคิด หรือ หลักคิด หลายคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่บางองค์กรให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะในตำแหน่งใหญ่ การที่คนหนึ่งคนที่เป็นพนักงาน ทำงานแบบทำไปวัน ๆ หรือ ทำไปแบบไม่รู้ ไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึง ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่มีแนวคิด หรือ หลักคิดให้ยึดในการทำงาน บางทีอาจจะถามถึงหนังสือที่เราชอบ แนวคิดหรือหลักคิดของการเขียนหนังสือเล่มที่เราอ่านเป็นอย่างไร เพื่อพิสูจน์ว่าเราอ่านแล้วสรุปประเด็นหรือได้หลักคิดอะไรบ้างจากการอ่านหนังสือ เป็นต้น
  7. ประสบการณ์ หรือ การเรียนรู้ผ่านกระบวนการที่ปฏิบัติอย่างเคี่ยวกรำ สิ่งนี้ก็เป็นคุณสมบัติชั้นดี ที่เราสามารถขายได้อย่าภาคภูมิใจว่าเราได้ผ่านอะไรมา และมีการเรียนรู้ตกผลึกเป็นองค์ความรู้ของเราอย่างไร และจะนำไปต่อยอดได้อย่างไร 

สุดท้ายอยากฝากไว้ “เค้าซื้ออะไร” ไม่สำคัญเท่า “เราขายอะไร” การที่อยากดีมานด์ของลูกค้าง่ายนิดเดียวเข้าไปอ่านในประกาศรับสมัครงานนั่นแหละค่ะ ส่วนเรามีดีอะไรจะขาย อันนี้ก็ฝากเป็นการบ้านไปคิดนะคะ ว่าเราดีพอที่ลูกค้าเค้าจะจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อซื้อเราหรือเปล่า...สู้ ๆ ค่า^^

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

หางานแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเรา


หางานให้เหมาะกับตัวคุณ
จริงๆ แล้ว เรื่องหางานไม่ใช่เรื่องยาก สมัยนี้ไม่ต้องซื้อหนังสือหางาน และตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสมัครงาน เรียกได้ว่า เดินกันจนรองเท้าสึกไปเป็นคู่ๆ ก็ยังหางานที่ดี ที่ถูกใจไม่ได้เลย แต่ยุคโลกออนไลน์ให้ประโยชน์ในทุกๆ เรื่อง เพียงแค่ลากเม้าส์ แล้วคลิกดูข้อมูลที่สนใจ อย่างเช่น ตำแหน่งงานว่าง หรือองค์กรที่เปิดรับสมัครงานที่อยู่ในความสนใจ

จากนั้นก็เริ่มต้นสมัครงานออนไลน์ โดยส่งประวัติการศึกษา ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เสนอเงินเดือนที่ต้องการ แล้วนั่งรอเมล์ที่จะตอบรับกลับมา ไม่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ถือว่าสะดวกสุดๆ แล้ว เพราะในแต่ละวัน เราสามารถหางาน และสมัครงานได้เป็นสิบๆ ที่โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการออกจากบ้านเลย

แต่งานแบบไหนล่ะที่จะเหมาะสมกับตัวเรา เรื่องนี้สำคัญมาก นับตั้งแต่เริ่มสอบเข้าเรียนต่อ หลายๆ คนเลือกเรียนตามกระแสสังคม อย่างเช่น วิศวกรรมศาสตร์, รัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, นิเทศศาสตร์ ฯลฯ โดยลืมดูว่าตัวเราเองนั้น มีความถนัดในด้านไหนกันแน่ บางคนถนัดด้านศิลป์ มีความคิดสร้างสรรค์ในด้านการออกแบบ วาดภาพ แต่จะเลือกเรียนตามความถนัด ก็เกรงว่า เมื่อเรียนจบออกมาแล้ว จะหางานไม่ได้ ก็เลยไปเลือกเรียนบัญชี หรือวิศวะ โดยหารู้ไม่ว่า การเรียนอะไรที่ถนัด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราสามารถดึงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวเรา ออกมาใช้ได้ และสร้างสรรค์วิชาชีพได้ดีกว่า

สำหรับคนมีเหตุผล ชอบอยู่กับตัวเลข สามารถนั่งทำงานนิ่งๆ ได้เป็นเวลานานๆ ก็น่าจะเหมาะสมกับงานด้านการบริหารจัดการ หรือบัญชี แต่ถ้าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น ชอบพบปะผู้คน ควรจะเลือกงานประเภทประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณา สื่อสารมวลชน สำหรับคนที่มีความอ่อนไหว มนุษยสัมพันธ์ดี ก็เหมาะกับงานประเภทงานบริการ ทั้งนี้การเลือกงานให้เหมาะสมกับตัวเรา ก็ต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกเรียนสาขาวิชาชีพต่างๆ จึงจะสามารถวางแผนการหางานได้ดี

อีกหนึ่งทางเลือกที่คนส่วนใหญ่มักจะนำมาเป็นเหตุผลในการเลือกงาน ก็คือสถานที่ทำงาน หรือหน่วยงานที่อยู่ในความสนใจ ทั้งนี้ต้องประเมินขีดความสามารถเฉพาะตัวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น บริษัท การบินไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นที่นิยมในหมู่คนหางาน แน่นอนว่า คนที่จะผ่านกระบวนการคัดเลือกเข้าไปเป็นพนักงานของบริษัทการบินไทยนั้น ต้องมีความสามารถด้านภาษาเป็นที่โดดเด่น ดังนั้นตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ก็คงต้องขวนขวายเรียนรู้ด้านภาษาเพิ่มเติม เมื่อจบออกมาก็มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะสอบเข้าทำงานให้ได้ ซึ่งก็มีหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จ เดินตามความฝันได้อย่างภาคภูมิ

แนะนำหางานบริษัท

หางาน
สำหรับผู้ที่กำลังหางาน ไม่ว่าจะเป็นงานบริษัท งานราชการ งานรัฐวิสาหกิจ และงานธนาคาร รวมถึงงานอื่นๆ ที่น่าสนใจ ตอนนี้มีการรับสมัครงานจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนหลายร้อยอัตรา โดยผู้ที่สนใจสมัครงาน สามารถติดตามตำแหน่งงานต่างๆได้จากเว็บไซต์จัดหางาน ซึ่งมีอยู่มากมาย เว็บไซต์ต่างๆ นั้น

บางเว็บไซต์ก็จะเน้นงานราชการโดยเฉพาะ บางเว็บไซต์เน้นไปที่งานบริษัท งานธนาคารดังนั้นหากสนใจจะสมัครงานในตำแหน่งงานใด ก็ควรจะคลิกเข้าไปดูให้ทั่วทุกหมวดแต่ละประกาศที่เปิดรับสมัครงาน จะมีรายละเอียดการสมัครงาน พร้อมคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง และหน้าที่รับผิดชอบ รวมถึงอัตราเงินเดือนที่จะได้รับอีกด้วย

เรียกได้ว่า มีข้อมูลแน่น ไม่จำเป็นจะต้องสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกันอีกก็ว่าได้ผู้ที่ต้องการสมัครงาน เพียงแต่เตรียมเอกสาร หลักฐานเกี่ยวกับการสมัครงานให้ครบถ้วนแล้วดำเนินการสมัครงานตามรายละเอียดที่ให้ไว้ อย่างเช่น ถ้าเป็นงานราชการก็มักจะต้องสมัครงานด้วยตนเอง ณ หน่วยงานที่ประกาศรับสมัครงาน

หรือสมัครงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ถ้าเป็นลักษณะนี้ ให้สแกนเอกสาร หลักฐานการศึกษาและประวัติส่วนตัวให้พร้อม เพราะการสมัครงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์นั้นพลาดไม่ได้เลยแม้แต่คำตอบเดียว หากกรอกข้อมูลผิด และระบบทำการบันทึกข้อมูลไปแล้ว

ก็เป็นอันว่า จบสิ้นกระบวนการสมัครงาน และไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้สมัครหลายๆ รายพลาดโอกาสตรงนี้กันเยอะมากส่วนงานบริษัท หรืองานเอกชนอื่นๆ ผู้สมัครต้องเดินทางไปสัมภาษณ์งานด้วยตนเองจึงต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ที่สำคัญคือเรื่องการแต่งกาย ต้องสุภาพ เรียบร้อย บุคลิกดีไม่สวย ไม่หล่อ ก็มีโอกาสได้งานทำเช่นเดียวกับคนสวยๆ หล่อๆ

สำหรับคนเราแล้วปัจจัยพื้นฐานมันตอบสนองได้เพียงแค่ระดับหนึ่งแหละคะ แต่สิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อคนทำงานเป็นปัจจัยในเรื่องของจิตใจ ซึ่งส่งผลอย่างมากว่าคนจะตัดสินใจอยู่หรือไม่อยู่กับองค์กร ง่ายๆก็คือ “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” นั่นแหละคะ ถ้าเรามีความคิด ความเชื่อ วิธีการทำงานที่ขัดแย้งกับแนวทางขององค์กรเป็นเรื่องยากที่เราจะอยู่กับองค์กรนั้นๆได้นาน ต่อให้เราพยายามปรับตัวมากเท่าไหร่ สภาพจิตใจที่รับกับความขัดแย้งในจิตใจของตัวเองจะให้ความตั้งในการทำงาน การจูงใจต่างๆก็ลดลงตามไปด้วยแหละคะ

แต่ในทางตรงข้ามถ้าเรามีสไตล์การทำงาน อุปนิสัยที่สอดคล้องกับองค์กร หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานแล้วมันจะช่วยให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตัวเราเองมีความสุขและมีแรงจูงใจในการทำงาน พร้อมและมีพลังที่จะทำงานในทุกๆวัน ลองสังเกตดูสิคะ คนเราเนี่ยเวลาที่เราจะเลือกคบใครหรือเป็นเพื่อนกัน มันจะมีอะไรบางอย่างที่มันคล้ายกันหรือเข้ากัน มันมีบางอย่างแหละที่ต่างกันแต่มันก็มีบางอย่างที่เข้ากันได้ เคมีตรงกันถึงจะคบกันยาวจริงม้า??

นี่ไง “รู้เรา” กันแล้ว ที่นี้เราจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหรือไม่นั้น จะบอกว่ายังไงดีหละ ปรับหน่อยเนอะจะรบก็ดูจะแรงไปหน่อย เอาเป็นว่าเราจะพิชิตเป้าหมาย ได้งานที่ฝันสมใจ เมื่อเรารู้จักใช้กลยุทธ์ การรู้เขา และรู้เรา เพื่อวางยุทธวิธีพิชิตให้ได้งาน และถ้าเราจะมองต่อยอดต่อไปเมื่อพิชิตงานในฝันกับองค์กรที่ใช่แล้วการมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน การพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไปภายหน้า อย่างมีสติ และมีการวางแผนเป็นอย่างดีความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมนะคะ

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

เรียนจบแล้วจะหางานบริษัท หรืองานราชการดี

พิธีจบการศึกษา ก่อนเผชิญโลกแห่งการทำงาน
น้องๆ บางคนไม่มีเป้าหมายในชีวิต เรียนจบแล้วยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีหรือนอนอยู่บ้านให้พ่อแม่เลี้ยงไปก่อน ผ่านไป 1 ปี ค่อยมาว่ากันเรื่องงาน ถ้าโชคดีมีเส้นสายพอที่จะฝากเข้าทำงานได้ ก็ไม่ต้องเดือดร้อนวุ่นวายเหมือนเพื่อนๆ

นักศึกษาคนอื่น แต่คนที่ไม่มีเส้นสาย มิหนำซ้ำต้องรีบทำงานเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อแม่ที่อ่อนล้า หมดเรี่ยวแรงลงไปทุกวัน คนเหล่านี้ต้องรีบหางานให้ได้โดยเร็วที่สุดถึงแม้ว่าจะอยากทำงานในองค์กรใหญ่ๆ ที่มีความมั่นคง ถ้าหากยังสอบไม่ได้ก็จำเป็นต้องหางานในบริษัทเล็กๆ หรือรับจ้างทำอะไรก็ได้เพื่อจะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว

จริงๆ แล้ว เป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ในระหว่างที่รองานตำแหนงดีๆในหน่วยงานที่เป็นหลักประกันให้กับชีวิตการทำงานได้ก็อย่ารั้งรอที่จะทำงานอื่นเพื่อจะได้มีรายได้มาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันซึ่งการที่ไม่ปล่อยตัวเองให้ว่าง มัวรองานตำแหน่งดีๆจะช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานได้เป็นอย่างดีและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็มักจะพิจารณาบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษด้วยเหตุที่ว่าสามารถต่อยอดการทำงานได้ทันที ไม่ต้องสอนงาน และไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้งาน

หลายๆ คนที่กำลังหางานกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นงานบริษัท หรืองานราชการก็ตามควรยึดหลักความขยัน บากบั่น และมุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝันให้สำเร็จบางคนอาจประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่ออายุล่วง 30 ปีไปแล้ว หลายๆ คนสอบตำรวจ ทหารหรือเป็นผู้พิพากษาได้ ก็เคยเห็นมาแล้ว

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

3 คำถามก่อนหางาน สำหรับเด็กจบใหม่

เตรียมตัวก่อนหางาน
ยินดีด้วยครับ ถึง ณ จุดๆนี้คุณก็ได้ก้าวมาถึงวันที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีกันแล้ว จุดนี้จะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับทางแยก ที่คุณต้องเลือกทางเดือนให้กับชีวิตเหมือนกัน คุณอาจจะเลือกเดินไปในทางของการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไป เช่น ปริญญาโท เป็นต้น หรือคุณอาจจะเลือกทางเดินที่นักศึกษาจบใหม่ส่วนใหญ่เลือกคือ การออกหางาน และสมัครงานในสายที่คุณได้ล่ำเรียนมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหนก็ไม่ผิดครับ อนาคตก็จะเดินต่อไปในทางเดินสายนั้นๆ ในบทความนี้เรามาตามดูกันถึงทางที่คุณจบมาแล้วเริ่มหางานกัน มาดูกันว่ามีคำถามอะไรบ้างที่คุณต้องถามตัวเอง และหาคำตอบให้ตังเองให้ได้ก่อนหา และสมัครงานบริษัท หรือโรงงาน

หาคำตอบให้ได้ว่า ที่จริงแล้วคุณต้องการอะไร?
คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าปวดหัวไม่น้อยสำหรับทุกๆ คนที่ต้องตอบ เพราะหาคำตอบได้ไม่ง่ายเลย ไม่เหมือนกับเวลาเราไปเดิน Shopping เราก็มักจะรู้อยู่ว่าต้องการอะไร โดยเฉพาะน้องๆ ผู้ชายไปเดินห้างทั้งทีก็จะมีจุดมุ่งหมายว่าไปซื้ออะไร ซื้อรองเท้า รองเท้ายี่ห้ออะไร Size อะไร เป็นต้น อันนี้ง่าย ไม่ยากอะไร แต่ถ้าจะให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงด้วยคำถามๆ เดียวนี้เป็นเรื่องยากเอาการ แนะนำว่าให้คุณลองสังเกตตัวเอง หรือย้อนอดีตกลับไปดูตัวเองเริ่มที่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก่อนก็ได้ครับว่า คุณเป็นคนที่มีบุคลิกแบบไหน เช่น คุณเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบพบปะพูดคุยกับคนมากหน้าหลายตาเพื่อที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แบบนี้คุณก็มีแนวโน้มว่า คุณอาจเลือกอาชีพเป็นพนักงานงาน หรือ Sale ได้ หรือ ถ้าคุณสนใจในด้าน เป็นพิเศษ และชอบอธิบายความรู้เกี่ยวกับด้านนี้ให้คนอื่นๆ แบบนี้คุณอาจจะลองหางานด้านเป็นอาจารย์สอนด้าน IT ตามสถาบันต่างๆ ที่เปิดสอน ก็ได้

คุณเคยมีประสบการณ์การทำงานจริง บ้างไหม?
คำถามนี้มีความหมายชัดเจนในตัวเอง และตอบง่ายไม่ยากเหมือนคำถามแรก และที่สำคัญคุณสามารถสร้างคำตอบสำหรับคำถามนี้ได้ด้วยตัวเองด้วย คำตอบที่ดีคือ คุณควรมีประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย ไม่สำคัญครับว่างานที่ทำต้องเป็นงานดี เงินดี หรือ งานตรงสายที่คุณเรียนมา
เป็นงานอะไรก็ได้ครับ ขอให้เป็นงานที่ได้ใช้ความสามารถ ได้เรียนรู้ถึงกรเข้ากับสังคมและ การทำงานเป็นทีม ทักษะพวกนี้หาได้จากการทำงานจริงมากกว่าตอนศึกษาอยู่ คุณอาจจะมีคำถามว่า  เอ๊ะ ก็คุณเป็นนักศึกษาอยู่จะไปทำงานได้อย่างไร?
ตอบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแบ่งเวลาว่างไปหางาน Part Time ทำ แค่เรียนอย่างเดียวก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ทว่าถ้าคุณสามารถทำได้คุณจะมีภาษีเหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่นมากโขเลยทีเดียว

คุณเขียนใบประวัติที่ใช้สมัครงาน หรือ Resume ดีหรือยัง?
คุณมีสิ่งสำคัญที่สุด ในการสมัครงานและได้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานบัญชี หรืองานคครู หรืองานอื่นๆ นั่นคือ ความรู้ตามสายงานที่ได้เล่าเรียนมาหลายปี คุณตั้งใจเล่าเรียนมาแรมปีถือว่าคุณได้เตรียมพร้อมสำหรับการทำงานแล้ว สิ่งที่เหลือเช่นการเขียน Resume ถึงแม้ว่าไม่ใช่ปัจจัยหลัก หรือสำคัญเทียบเท่า แต่ก็ยังมีความสำคัญไม่ควรที่จะละเลยไป เพราะว่าผู้ทีหน้าที่สัมภาษณ์ และพิจารณาใบสมัคร จะได้รู้จักคุณผ่าน Resume ของคุณเท่านั้น ดังนั้นถ้าคุณเขียนใบประวัติได้ไม่น่าสนใจ ทั้งๆ ที่คุณมีความสามารถมากกว่านั้น อาจทำให้คุณเสียโอกาส คือไม่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งานได้ ดังนั้น พยายามเขียนใบประวัติให้
  • ชัเจน กระชับ ตรงประเด็น
  • บ่งบอกถึงความสามารถพิเศษ หรือประสบการณ์ให้มาก
  •  ยาวไม่เกิน 1-2 A4

ที่สำคัญถ้าคุณมีประสบการณ์ทำงานมาบ้างขณะ ที่ศึกษาอยู่ ขอหนังสือแนะนำ หรือใบผ่านงาน นำบุคคลอ้างอิง มาแนบกับใบสมัครด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้ใบสมัครของคุณดูน่าเชื่อถือขึ้นอีกเป็นกอง

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีเช็คตัวคุณเองว่า คุณเบื่องานหรือยัง

กำลังเบื่องานประจำอยู่ หรือเปล่า?

ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ชัดได้เวลาที่ ชอบอกชอบใจหรือไม่ปิติยินดีกับภารกิจงานขณะนี้ เพราะเหตุว่าหลายๆ คน พวกเขาเพียงต้องการแต่มีอาชีพ รายได้ที่มั่นคง ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาไม่สนใจว่าพวกเขา จะรักอาชีพนี้จริงๆหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเหนื่อยล้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ และไม่รู้ชัด ในที่สุด วันหนึ่งผลกระทบในแง่ลบ อาจเกิดขึ้นกับคุณ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องตามดูกันว่า สิ่งที่ทำ ให้คุณมีอาการเหนื่อยล้า กับหน้าที่การงานคืออะไรกันแน่? คุณจะบอกได้อย่างไร เมื่อไรว่าคุณเหนื่อยล้ากับหน้าที่การงานที่คุณทำอยู่? และคุณสามารถทำ อะไรกับามันได้บ้าง?

คุณมีข้อแก้ตัวให้ตัวเองเสมอเมื่อส่งงานไม่ตรง เวลา

คุณไม่ต้องการที่จะพยายามหรือทำงานให้เสร็จตรงตามหมายกำหนดการส่งงาน คุณจะมีข้อแก้ตัวเสมอเวลาทำงานส่งงานไม่ทัน ถึงแม้เจ้านายคุณจะให้เวลาในการทำงานเพียงพอต่อการทำให้เสร็จ แต่คุณก็ยังไม่รู้สึกอยากทำงาน ด้วยความตั้งใจให้สำเร็จลุล่วงภายในเวลาที่กำหนดเมื่อถูกตักเตือนหรือ ถูกเร่งงานโดยเจ้านาย คุณก็จะหาข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อมาอธิบายเหตุผลของการส่งงานช้าถ้าคุณ มีข้ออ้าง ในเวลาส่งงานช้าในลักษณะนี้คุณอาจเข้าข่ายเริ่มต้นเบื่อหน่ายการงานที่ทำครับ

คุณให้ความสำคัญกับนาฬิกามากกว่างาน
อาชีพคือเงิน คุณดูจะเข้าใจ และยึดมั่นกับคำกล่าวนี้เป็นอย่างดี คือทำงานไปวันๆ ถึงเวลาก็ รับเบี้ยเลี้ยงคุณรู้สึกว่าวันทำงาน วันนึงๆ ทำไมเวลาช่างเดินช้าเสียจริง เวลางานหมดไปช้าซะเหลือเกินคุณไม่อยู่นิ่ง เล่นอินเทอร์เน็ต อ่านหนังสือพิมพ์และพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น เพื่อฆ่าเวลาคุณมักรู้สึกอยากกลับบ้านก่อนเวลาและไม่เดือดร้อนกับงานหลายๆสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จ

ไม่ต้องการที่จะช่วยผู้อื่นเพื่อนร่วมงานบริษัท
เมื่อในที่ทำงานต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับงาน คุณรู้สึก ไม่มีความสุุขถ้าเลือกได้คุณจะขอเลือกงานง่ายๆ จะได้มีเวลาเหลือไปทำกิจกกรรมที่ชื่นชอบส่วนตัว ในกรณีที่ คุณช่วยเพื่อนร่วมงาน มันก็เป็นเพียงเรื่องที่เคยชิน ไม่ใช่เกิดจาก ความกระตือรือร้น

มองหางานใหม่
คุณท่องไปในอินเทอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่อหาอาชีพและตระเตรียมResumeสำหรับงานประจำใหม่ถ้ามีโอกาสเข้ามา คุณจะมีความสุขว่าตัวคุณเองมีค่า มีทางเลือกใหม่ๆ ทุกๆ ครั้งที่มีอีเมล์ มีโทรศัพท์ชักชวนให้คุณไปสัมภาษณ์งานที่ได้สมัครไว้ โดยคุณหวังไว้ว่า ถ้าคุณหา และสมัครงานใหม่ๆ จะทำให้คุณสามารถอัพเงินเดือนขึ้นไปได้อีก ในขณะเดียวกันลดความเสี่ยง เพราะคุณยังมีงานเก่ารองรับเมื่อความใส่ใจ สนใจของคุณแทบจะทั้งหมดถูกใช้ไปกับการมองหางานใหม่ งานประจำปัจจุุบัน จึงได้ถูกละเลยไปมาก ถึงมากที่สุด